วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 วิธีในการเอาชนะความกลัวในการขาย

      คุณชอบงานขายมั๊ยครับ? ถ้าเป็นคุณจะตอบว่าอย่างไร ผมคิดว่าถ้าถาม 10 คน คงมีคนตอบว่าชอบไม่เกิน 2 คนแน่ครับ แปลกนะครับคนไทยส่วนใหญ่จะไม่ชอบงานขาย มองว่าเป็นงานที่จะต้องตากหน้าไปของ้อคนอื่น ซึ่งอันที่จริงแล้วงานขายเป็นงานที่จะสร้างรายได้ให้กับคุณได้อย่างไม่จำกัด และถ้าลองดูประวัติของมหาเศรษฐีของโลก ก็มีหลายคนที่ทำงานด้านการขาย และถ้าจะพูดถึงนิสัยใจคอหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยแล้ว ยิ่งเหมาะที่จะทำงานขาย เพราะคนไทยเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน, เคารพผู้อาวุโส และโอบอ้อมอารี ซึ่งก็เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของนักขาย และที่สำคัญอีกประการคือการดำรงชีวิตทั่วไปของเรา ๆ ท่าน ๆ ก็เกี่ยวข้องกับงานขายอยู่ตลอด เช่น การทำงานบริษัททั่วไปก็เป็นงานการขายความคิด, การที่ลูก ๆ จะขอซื้อของก็ต้องพยายามโน้มน้าวใจเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ และยังมีกิจกรรมอีกมากมายในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับงานขาย แม้แต่นายกรัฐมนตรีกว่าจะได้ตำแหน่งมาก็ต้องเป็นการขายแนวนโยบายเพื่อเอาชนะ ใจประชาชนเช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่ามองข้ามงานขายนะครับ
     สำหรับท่านที่ไม่ชอบงานขายมักมี เหตุผลต่าง ๆ ร้อยแปด แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่มักเกิดกับคนส่วนใหญ่แต่ไม่ค่อยจะยอมรับกันคือ ความกลัว ไม่ว่าจะกลัวอะไรก็แล้วแต่ วันนี้ผมมีวิธีที่จะชนะความกลัวที่ว่าข้างต้นมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งมันอาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาในการทำงานของคุณได้บ้างนะครับ




1. ต้องรู้ต้นกำเนิดของความกลัว

ข้อนี้สำคัญมาก ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่เรากลัวนั้นแท้ที่จริงคืออะไร ส่วนใหญ่แล้วการกลัวการขายจะมาจากหลายรูปแบบ เช่น กลัวสินค้าหรือบริการของเราอาจจะไม่เป็นเหมือนกับสิ่งที่เราได้บอกไป, กลัวการปฏิเสธจากลูกค้า หรืออาจจะเป็นหลาย ๆ อย่างรวม ๆ กัน ดังนั้นการที่รู้สิ่งที่เรากลัวที่แท้จริงคืออะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ จะกำจัดความกลัวออกไปเพื่อเอาขนะมันให้ได้

2. เข้าถึงต้นกำเนิดความกลัวและทำการแก้ไข

เมื่อรู้ว่าต้นกำเนิดความกลัวคืออะไร ต้องรีบแก้ให้ตรงจุด เช่น กรณีที่ไม่มั่นใจในสินค้า ก็ต้องทำการปรับปรุงสินค้า ในทางปฏิบัติคุณอาจทำไม่ได้ด้วยตัวเอง แต่ก็อาจจะช่วยได้ด้วยการนำเอาผลการสำรวจความพอใจลูกค้าส่งให้กับเจ้า หน้าที่ของบริษัทเพื่อทำการปรับปรุงสินค้าต่อไป ส่วนในเรื่องความกลัวการปฏิเสธ ก็ทำได้ด้วยการสังเกตและศึกษาลูกค้าให้ดี และทำการเตรียมตัวให้ดีก่อนเข้าพบลูกค้าก็พอจะช่วยคุณได้เป็นอย่างดี

3. แสดงความกระตือรือร้นหรือตื่นเต้นต่อสิ่งที่คุณเสนอ

วิธีที่ดีวิธีหนึ่งที่หลายๆท่านเคย ใช้ได้ผลต่อการเอาชนะความกลัวในการขายคือการแสดงความกระตือรือร้นต่อสิ่งที่ คุณนำเสนอ ด้วยการจดรายการของผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับ, ตัวอย่างผู้ที่ประสบความสำเร็จ หรือความพึงพอใจของลูกค้าที่ได้รับจากการใช้สินค้า, บริการหรือสิ่งที่คุณกำลังเสนอ จำให้ขึ้นใจเพื่อใช้ในการนำเสนอออกไปให้กับลูกค้าของคุณต่อไป

4. ปรับเปลี่ยนมุมมอง

ลองทำการปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับ การขาย ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือลำบากใจในการขาย ด้วยการปรับให้เป็นการแบ่งปันสินค้าให้ลองใช้, การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์สินค้าหรือบริการ, การบอกเล่าประสบการณ์ที่ดีต่อสินค้าหรือบริการ หรือบอกเล่าประสบการณ์จากการใช้สินค้าหรือบริการของผู้ที่ได้ใช้แล้ว แทนการที่จะพยายามโน้มน้าวให้เกิดการซื้อ ซึ่งอาจจะทำให้คุณสบายใจขึ้นและพร้อมที่จะปฏิบัติมากกว่าการคิดว่าจะออกไป ขายนะครับ

5. เริ่มแต่น้อย

บ่อยครั้งที่หลายท่านพยายามที่จะขาย จำนวนหรือปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งทำให้กดดันตัวเองมากเกินไปจนทำให้เกิดความกลัวขึ้นในที่สุด ดังนั้นในการที่จะเอาชนะความกลัวนี้ได้ก็เพียงคุณเริ่มแต่น้อย เช่นเริ่มต้นธุรกิจด้วยการแนะนำให้กับเพื่อนสนิทบางคน และค่อยขยายต่อไปในวงกว้างขึ้น ๆ ต่อไป หลาย ๆ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มจากเล็ก ๆ และค่อยๆ โตอย่างมั่นคง

6. ทำตามแนวทางแห่งความสำเร็จ

เก็บเป้าหมายแห่งความสำเร็จไว้ใกล้ ตัวที่สามารถทบทวนได้เสมอ และทำการบันทึกผลการทำงานลงไปทุกวันเพื่อเปรียบเทียบและประเมินกับเป้าหมาย วิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานตามแนวทางได้อย่างถูกต้อง

7. สนุกกับงาน

อย่าเครียดกับงานจนมากเกินไป ควรจะทำงานด้วยความสนุกบ้าง หรือถ้ามีโอกาสก็หาวิธีที่จะบังปันกลับให้กับสังคมบ้าง เช่นการบริจากเงินหรือสิ่งของให้กับมูลนิธิหรือสมาคมบ้าง จะทำให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

8. มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย

หลาย ๆ ท่านที่ประสบความสำเร็จเพราะความมุ่งมั่นและโฟกัสต่อการที่จะไปให้ถึงเป้า หมายและผลประโยชน์ของตนที่วางแผนไว้ ต้องหมั่นเตือนตัวเองเสมอว่าเราต้องการอะไร, ทำไมเราจึงทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งก็จะช่วยให้คุณทำต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไปถึงสิ่งที่ฝันไว้

9. ละวางบ้าง

ในบางช่วงก็ต้องมีการละวางจากผลการทำ งานบ้าง บางครั้งการที่เราจริงจังกับผลงานที่ออกมามากจนเกินไปก็อาจกดดันเรามากเกิน ไปได้ ซึ่งก็จะต้องละวางต่อผลงานลงบ้างในบางจังหวะ และหันมาทบทวนถึงวิธีการทำงานหรือความพยายามที่จะให้ได้ผลงานนั้นออกมา ว่าในระหว่างทางนั้นเราทำได้ดีหรือยัง ควรต้องปรับปรุงอะไรบ้างหรือไม่

10. หมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจใดหรือทำงาน สาขาใดก็ตาม สิ่งที่คุณขาดไม่ได้คือการที่จะต้องหมั่นฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความชำนาญ และทักษะที่เพิ่มขึ้นต่อ ๆ ไป ไม่ว่าคุณจะเก่งเพียงใดก็ตาม ถ้าคุณหยุดนิ่งไม่ฝึกฝนหรือพัฒนาตัวเอง ในไม่ช้าคนอื่นก็แซงคุณอย่างแน่นอนครับ อย่าลืมนะครับว่าปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เพียงแค่หยุดนิ่ง คุณก็ล้าหลังแล้วครับ

หวังเป็นอย่างยิ่งนะครับว่าบทความนี้พอจะเป็นเครื่องลางช่วยให้คุณคลายความกลัวและมีความมั่นใจในงานขายมากขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ



ประโยชน์ของขนมไทย

      ใยอาหาร" หรือ "Fiber" เป็นอาหารอีกหมู่หนึ่งที่ร่างกายมีความต้องการไม่น้อยไป กว่าอาหารหลักหมู่อื่น ใยอาหารนี้แท้ที่จริงแล้วคือ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ไม่ใช่แป้ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ พืช ผัก และผลไม้ที่รับประทานได้ แต่ไม่ถูกย่อยโดยน้ำย่อยในระบบย่อยอาหาร เมื่อผ่านลำไส้ใหญ่บางส่วนจะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ ทำให้กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไฮโดรเจน น้ำ และกรดไขมันสายสั้นๆ ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ใยอาหารจึงมีผลช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งที่อาจปะปนมากับอาหาร ซึ่งร่างกายสามารถขับถ่ายมาพร้อมกับอุจจาระ ช่วยลดการดูดซึมไขมันและคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดได้และเพื่อสุขภาพที่ดีเรา ควรบริโภคอาหารที่มีเส้นใยอาหารในปริมาณ 25-30 กรัมต่อวัน ซึ่งในขนมไทยต่างมีใยอาหารประกอบอยู่ด้วยทั้งสิ้น
กาก ใยอาหารในผักและผลไม้ที่นำมาใช้ทำขนม อย่างเช่น กล้วยบวดชี บวดเผือก บวดฟักทอง ยังคงสภาพอยู่กากใยเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการขับถ่ายของร่างกายทีเดียว ในขณะที่ ขนมพันธุ์ใหม่ที่ในยุคนี้จะเป็นขนมที่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายหลายขั้นตอน มาก แป้งที่ใช้ทำขนมก็จะถูกฟอกขาว มีสารเคมีสังเคราะห์มากมายเข้าไปเป็นส่วนผสมทั้งในแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะย่อยสลายทันทีในปาก เกิดกรดทำให้ฟันผุได้ทันที และความที่อาหารมีกากใยน้อยลง โรคที่ตามมาอีก คือ อาการท้องผูก ปัจจุบันกลายเป็นปัญหาของเด็กอย่างยิ่ง บางบ้านถึงกับทะเลาะกันระหว่างแม่กับพ่อเรื่องการถ่ายของลูก
เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ
- เบต้าแคโรทีน (beta-Carotene) เป็นองค์ประกอบของสารสีส้มแดง สีเหลืองในพืช ผัก ผลไม้ เป็นแหล่งของวิตามินเอ เพราะร่างกายสามารถเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ ซึ่งวิตามินเอนี้เป็นวิตามินชนิดไม่ละลายน้ำ มีหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น การเจริญเติบโต เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของไขมันบนผนังเซลล์ ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดี
- แคลเซียม เป็นธาตุอาหารที่เป็นโครงสร้างของกระดูกและฟัน ช่วยการหดตัวของกล้ามเนื้อและการเต้นของหัวใจ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์
     ขนมไทย มีรากเหง้ามาจากสังคมเกษตรผูกพันกับธรรมชาติ วัตถุดิบที่นำมาทำเป็นขนมก็ล้วนมาจากธรรมชาติ ดังนั้นคุณสมบัติหลายประการของผลผลิตตามธรรมชาติก็จะยังคงมีอยู่มาก จากการสำรวจคุณค่าทางโภชนาการขนมไทย ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขพบว่าขนมไทยส่วนใหญ่ นอกจากจะมีคุณค่าในสารอาหารหลักๆ อย่างคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันแล้วยังมีแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายรวมอีกด้วย อาทิเช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ เรตินอล แคโรทีน เป็นต้น ซึ่งคุณค่าอาหารรวมหมู่แบบนี้จะหาไม่ได้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะเป็นการสกัดสารอย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุในแคปซูลเพื่อขายในราคาแพงๆ เท่านั้น และในขนมถุงสารอาหารที่มีประโยชน์เหล่านี้ก็ยังหาทำยาได้อยากเช่นกัน
นอก จากนี้ ด้วยความที่ขนมไทยยังไม่ได้ถูกครอบงำจากระบบอุตสาหกรรมข้ามชาติ ทำให้ขนมไทยมีความปลอดภัย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความปลอดภัยจากการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรม หน้าแรก ขนมไทยเป็นมิตรต่อสุขภาพ ประโยชน์จากขนมไทยการเลือกรับประทานขนมไทย การกินแบบไทยๆ ขนมไทยในเทศกาลงานบุญ ขนมไทยในงานมงคล ขนมไทยแด่ผู้ยากไร้ ขนมไทยที่ใช้เป็นของขวัญ หรือ จีเอ็มโอ เพราะจากการตรวจสอบของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกรีนพีช พบว่า มีขนมกรุบกรอบหรือขนมถุงที่จำหน่ายในท้องตลาดบางยี่ห้อมีการใช้วัตถุดิบที่ ปนเปื้อนจีเอ็มโอ แม้จะยังเป็นข้อถกเถียงที่ยังไม่มีบทสรุปมาจนถึงทุกวันนี้ว่า คนที่กินอาหารจีเอ็มโอหรือมีส่วนผสมของอาหารจีเอ็มโอเข้าไปจะมีผลกระทบต่อ สุขภาพร่างกายหรือไม่อย่างไร แต่เพื่อความปลอดภัยผู้บริโภคก็ไม่ควรที่จะเสี่ยง

การเริ่มลงทุน

การลงทุนส่วนบุคคล

      ทำไมบุคคลจึงต้องลงทุน (Why Invest)

      โดยปกติรายได้ที่บุคคลได้รับจะถูกจัดสรรออกไปเป็น 2 ด้านใหญ่ ๆ คือ ส่วนหนึ่งเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และอีกส่วนหนึ่งเก็บออมไว้สำหรับใช้จ่ายในวันข้างหน้า

      การใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของบุคคลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าสามารถจัดสรรค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสมให้มีเงินเหลือใช้ ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะมีเงินออมเก็บไว้สำหรับความจำเป็นในวันข้างหน้าได้มากขึ้น

      การที่คนเราเก็บออมก็เพราะได้เปรียบเทียบแล้วว่า เงินที่เก็บออมไว้เพื่อใช้จ่ายในวันข้างหน้าจะให้ประโยชน์คุณค่าหรือความพอใจสูงสุดแก่เขามากกว่าจะเอามาใช้เสียในวันนี้

      ทำอย่างไรจึงจะให้เงินออมที่อุตส่าห์สะสมไว้เพิ่มพูนค่าและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของสิ่งสำคัญก็คือ คนเราต้องรู้จัก การลงทุน “ (Investments) การลงทุนเป็นการนำเอาทรัพย์สินที่บุคคลมีอยู่ไปดำเนินการในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในช่วงเวลานั้น

      การลงทุนแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

      การลงทุนในสินทรัพย์ทีมีตัวตนเห็นประโยชน์จากการใช้ได้อย่างชัดเจน กับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เห็นประโยชน์การใช้ได้โดยชัดเจน (Tangible and intangible investment) การลงทุนซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ ซื้อเพชรพลอยของมีค่า

      ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เราลงทุนเป็นเจ้าของไว้โดยตรงได้อย่างเต็มที่ที่เรียกว่า Tangible investment ส่วนการลงทุนในหุ้นพันธบัตรตราสารการเงินอื่น ๆ ซึ่งผู้ซื้อมีสิทธิเรียกร้องและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการถือกรรมสิทธิ์ในตราสารเหล่านี้ไว้ เรียกว่าเป็นการลงทุนแบบ Intangible investments สำหรับในบทนี้จะเน้นเฉพาะการลงทุนที่เป็น Intangible investments หรือที่จัดอยู่ในประเภทของการลงทุนทางการเงิน เป็นส่วนใหญ่
การลงทุนทางการเงิน (Financial investments)
     หมายถึง การที่ผู้ลงทุนนำเงินที่มีอยู่ไปซื้อหลักทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งหลักทรัพย์ดังกล่าวก่อให้เกิดรายได้กับผู้ลงทุนนั้น ซึ่งการลงทุนทางการเงินโดยทั่วไปมักจะทำผ่านกลไกของตลาดการเงิน

วัตถุประสงค์ของการลงทุนทางการเงิน เพื่อจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบของดอกเบี้ย (Interest) เงินปันผล Dividend) กำ ไรจากการซื้อขายหุ้น (Capital gain) และสิทธิพิเศษอื่น ๆ กล่าวโดยสรุปก็คือ มุ่งผลตอบแทนจากการใช้ทุนในรูปแบบของผลตอบแทนทางการเงิน (Monetary return) นั่นเอง

เงินเพื่อการลงทุนได้มาจากไหน (Money For investing) 
      เงินสำหรับนำมาลงทุนได้มาจากแหล่งใด หรือมีทางที่จะได้มาอย่างไรถ้าบุคคลได้มีการวางแผนจัดการเรื่องการเงินของตนอย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็จะมีทางให้ได้เงินก้อนหนึ่งเพื่อการลงทุนได้เสมอ บุคคลมีโอกาสได้เงินมาจาก

1.การรู้จักทำงบประมาณ (Using budgets) เราสามารถควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ในขอบเขตของเงินงบประมาณที่กำหนด ก็จะทำให้มีเงินออมเหลืออยู่จริงตามที่คาดคะเนไว้ ซึ่งเงินออมส่วนนี้สามารถนำไปลงทุนหาผลประโยชน์ได้

2.การออมโดยวิธีบังคับ (Forced saving) ตามหลักของการจ่ายเงินเดือนซึ่งธุรกิจได้มีการหักเงินสะสม หรือเงินสำรองเลี้ยงชีพของพนักงานไว้ เงินออมส่วนนี้เป็นของลูกจ้างพนักงาน แต่ยังถอนไม่ได้จนกว่าจะทำตามเงื่อนไขที่กำหนด ธุรกิจจะนำเงินสดดังกล่าวไปให้สถาบันการเงินหรือบุคคลที่สามเป็นผู้ดูแลหาผลประโยชน์ให้งอกเงยตามที่กฎหมายกำหนด และจะจ่ายคืนแก่เจ้าของผู้มีสิทธิได้รับเมื่อถึงเวลา เงินออมโดยโดยวิธีบังคับจึงเป็นเงินลงทุนทางหนึ่งของบุคคลเพียงแต่เขาไม่ได้เป็นผู้ลงทุนเองโดยตรงแต่สถาบันนายจ้างเป็นผู้ลงทุนแทนให้

3.การยกเว้นรายจ่ายไม่จำเป็นเสียบ้าง (Skip an expenditure) เป็นธรรมชาติของบุคคลที่มีเงินแล้วจะใช้จ่ายไปตามวิสัยปกติที่เคยเป็นมา เช่นทุกวันอาทิตย์ต้องออกไปทานข้าวนอกบ้าน ดูภาพยนตร์ เล่นโบว์ลิ่ง เล่นกอล์ฟ หรือซื้อของตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ดังนั้นถ้าจะมีการยกเลิกบ้างก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จะมีเงินเหลือนำมาลงทุนได้

4.การประหยัดรายได้พิเศษ (Save the nonroutine incomes) บางครั้งคนเราก็มักจะได้รับรายพิเศษเข้ามาบ้าง เช่น การไปทำงานพิเศษมีรายได้หรือขายของเก่า ที่ไม่ใช้แล้ว หรือญาติผู้ใหญ่ได้ให้เงินเป็นของขวัญรางวัล ซึ่งเงินเหล่านี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบใช้จ่ายแต่ประการใด ดังนั้นถ้าสามารถเก็บออมไว้ก็จะนำไปหาผลประโยชน์ได้มาก

ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return from investing)

      การลงทุนมีความสัมพันธ์กับด้านผลตอบแทน (Returns) และความเสี่ยง (Risks) การที่คนเราลงทุนก็เพราะเราคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนเท่านั้นเท่านี้ แต่บางครั้งไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย จึงต้องอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย ผลตอบแทนจากการลงทุน มีหลายรูปแบบได้แก่

ก. รายได้ตามปกติ (Current income) รายได้ตามปกติได้แก่ ดอกเบี้ยหรือเงินปันผลในกรณีที่บุคคลซื้อพันธบัตรหรือลงทุนในหุ้นต่าง ๆ ซึ่งกำหนดเวลาก็จะได้รับดอกเบี้ยหรือเงินปันผลตามที่บริษัทระบุไว้

ข. กำไรจากการซื้อขายหุ้น (Capital gains) ในกรณีของหุ้นสามัญที่บุคคลลงทุนซื้อไว้มีราคาสูงขึ้น ซึ่งเมื่อขายออกไปแล้วจะได้กำไร

ค. ค่าเช่า (Rent) ในการลงทุนซื้อทรัพย์สินโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกอสังหาริมทรัพย์ เช่นที่ดิน บ้าน อพาร์ตเมนท์ ที่อยู่อาศัย เมื่อนำไปให้ผู้อื่นเช่าก็จะมีรายได้ ค่าเช่าเป็นรายได้ที่คืนมาสู่เจ้าของ

ง. ผลตอบแทนอื่น ๆ (Others) เช่นการซื้อหุ้นสามัญก็จะมีสิทธิในหารออกกเสียงเลือกคณะกรรมการของบริษัท และถ้าถือหุ้นไว้มากก็จะมีโอกาสจะได้รับเลือกเป็นผู้บริหารซึ่งสามารถกำหนดนโยบายของบริษัทได้ หรือสิทธิในการซื้อขายหุ้นใหม่ได้ในราคาพิเศษ เป็นต้น

      ในการคำนึงถึงผลตอบแทน ผู้ลงทุนควรถามตัวเอง ผลตอบแทนที่ตนต้องการได้รับ สักกี่เปอร์เซ็นต์ โดยจะต้องคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อไว้ด้วย เพราะเงินเฟ้อย่อมมีผลกระทบต่อผลตอบแทนในการลงทุน ดังนั้นในการพูดถึงเรื่องผลตอบแทนผู้ลงทุนควรให้ความสนใจในกับ Real rate of return มากกว่า Nominal rate of return

   

ปัจจัยในการเริ่มผลิตสินค้า

         
    การผลิต หมายถึง การนำปัจจัยการลิตชนิดต่างๆ ตังแต่สองชนิดขึ้นไปมาทำให้เกิด สินค้าและบริการต่างๆเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์

ปัจจัยการผลิต ปัจจัยการผลิตประกอบไปด้วยที่ดิน แรงงาน ทุนและผู้ประกอบการ ในการผลิตสินค้าแต่ละครั้งอาจใช้ปัจจัยการผลิตตามที่กล่าวหรืออาจใช้เพียง 2-3 อย่างก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าที่จะทำการผลิตในแต่ละครั้ง ปัจจัยการผลิตทั้ง 4 สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้

1. ที่ดิน เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถจะสร้างเพิ่มได้ ที่ดินในฐานะที่เป็นปัจจัยการผลิต จึงหมายถึงพื้นผิวโลกทั้งหมดไม่เฉพาะแต่เพียงส่วนที่เป็นพื้นดิน พื้นน้ำ และน้ำแข็งเท่านั้น ยังรวมไปถึงสิ่งต่างๆบางอย่างที่ติดอยู่บนพื้นโลก เช่น สิ่งปลูกสร้าง ที่อยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรม พื้นที่การเกษตร ไร่นา ป่าไม้ แร่ธาตุต่างๆ ดังนั้นที่ดินในทางเศรษฐศาสตร์ จึงถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่ง ใน 4 อย่าง เพราะที่ดินเป็นสถานที่ใช้ผลิตสินค้าและบริการต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับอุปโภค บริโภค ตลอดจนวัตถุดิบต่างๆที่เป็นปัจจัยการผลิตด้วย

2. ทุน ทุนในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ จะแตกต่างไปจากทุนที่ใช้อยู่โดยทั่วๆ ไป ซึ่งพอจะแยกความแตกต่างออกได้ดังนี้ คือ ทุนในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ผลรวมของค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องจ่ายจริงในการผลิตสินค้า และค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องจ่ายจริง เป็นต้นทุนที่มองไม่เห็น หรือเรียกว่า ต้นทุนเสียโอกาส คือผู้ผลิตเสียโอกาส ในการนำปัจจัยการผลิตไปใช้ในการผลิตอย่างอื่น เช่น ทำนาในที่นาของตัวเองไม่ได้คิดค่าเช่านา เป็นต้น นอกจากนี้ทุนทางเศรษฐศาสตร์ยังรวมถึงสิ่งที่สามารถใช้เป็นทุนได้ เช่น เครื่องจักร อาคาร โรงงาน รวมถึงเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆด้วย

ทุนในทางธุรกิจ คือ ทุนทางบัญชี หมายถึง เงินสด หรือเงินทุนที่นำมาใช้ในการผลิตและดำเนินการ จะเป็นรายจ่ายที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีการจ่ายจริง

3. แรงงาน หมายถึง บุคคลที่ใช้กำลังความคิดทำงานเพื่อให้ได้ผลตอบแทน ซึ่งอาจเป็นเงินหรือสิ่งของ และเงินหรือสิ่งของที่ได้มานั้นสามารถบำบัดความต้องการของบุคคลได้ แรงงานนับว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญชนิดหนึ่งในการผลิตสินค้าและบริการ

4. ผู้ประกอบการ คือ การกำหนดเอาที่ดิน ทุน แรงงาน มาดำเนินการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นผู้ดำเนินการ หรือผู้จัดการในการผลิต จึงเรียกว่า ผู้ประกอบการ เพราะได้ทำหน้าที่เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหา พื้นฐานทางเศรษฐกิจว่า จะผลิตอะไร และผลิตเพื่อใคร

การเลือกสถานที่ขาย

ตลาด/แหล่งจำหน่าย

1. ตลาด ย่านชุมชน

 2. ส่งร้านขนม 





3. หน้าสถานที่ราชการ







































































วัตถุดิบและอุปกรณ์ในการทำขนมชั้น

เวลาในการทำ 90 นาที
ส่วนผสมสำหรับ 9-12 ชิ้น

วัตถุดิบ
1. แป้งท้าวยายม่อม 140 ก.
2. แป้งข้าวจ้าว 70 ก.
3. แป้งมัน 100 ก.
4. กะทิ 800 มล.
5. น้ำตาลทราย 400 ก.
6. กลิ่นมะลิ 1/2 ชช.
7. สีผสมอาหารตามชอบ อย่างละ 3 หยด




 เวลาที่ใช้
90 นาที

เครื่องมือ
ชามผสม กระชอน ที่นึ่ง แม่พิมพ์

วิธีทำขนมชั้น


1.    ผสมน้ำตาลทราย กะทิ กลิ่นมะลิ ตั้งไฟอ่อนคนจนน้ำตาลทรายละลายจนหมด พักไว้ให้เย็น (ไม่ต้องต้มจนเดือด แค่น้ำตาลละลายหมดก็พอ)

2.     นำแป้งทั้งสามชนิดผสมรวมกัน ค่อยๆเติมกะทิลงไปนวดให้เข้ากัน นำไปกรองด้วยกระชอนตาถี่ พักไว้ก่อน


3.     แบ่งสีผสมอาหารใส่ถ้วยทั้ง 4 ใบ เติมส่วนผสมของแป้งที่กรองแล้วลงไป แบ่งให้เท่าๆกัน คนให้สีผสมกับแป้งเนียนดี พักไว้



4.    ใส่น้ำในซึ้งนึ่งต้มให้เดือดจัด นำพิมพ์ลงนึ่ง 15 นาที จากนั้นเติมแป้งลงไปทีละชิ้น ความหนาในแต่ละชั้นไม่เกิน 3 มิล. นึ่งแต่ละชั้นนาน 5-7 นาที ด้วยไฟอ่อน สลับสีแต่ละชั้นจนหมด พักไว้ให้เย็น
5.    ตัดขนมชั้นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม












ส่วนผสมทำขนมชั้น

1. แป้งท้าวยายม่อม 140 ก.
2. แป้งข้าวจ้าว 70 ก.
3. แป้งมัน 100 ก.
4. กะทิ 800 มล.
5. น้ำตาลทราย 400 ก.
6. กลิ่นมะลิ 1/2 ชช.
7. สีผสมอาหารตามชอบ อย่างละ 3 หยด
ส่วนผสมขนมชั้น

มาดูวิธีทำขนมชั้นกันค่ะ

เทกะทิใส่หม้อใช้ไฟอ่อนๆไม่ต้องแรงมาก ตามด้วยน้ำตาลทราย และกลิ่นมะลิ ครึ่งช้อนชา พอให้มีกลิ่นหอม คนให้น้ำตาลทรายละลายและพักไว้ให้เย็น ก่อนผสมกับแป้ง
น้ำกะทิ ขนมชั้น
หลังจากกะทิเย็นแล้ว เราจะผสมส่วนของแป้ง เริ่มจากแป้งเท้ายายม่อม แป้งมัน และแป้งข้าวจ้าว จากนั้นเติมกะทิทีละน้อย
แป้งเท้ายายม่อม ขนมชั้น
นวดแป้งไปเรื่อยๆ นวดแป้งจนละลายดีแล้วเราจะนำมากรองด้วยกระชอนตาถี่
นวดแป้ง ขนมชั้น
จากนี้เราจะนำไปผสมสีค่ะหยอดสีใส่ถ้วยตวงไว้ นำส่วนผสมมาเทในถ้วยให้ได้ปริมาณเท่าๆกัน เสร็จแล้วคนให้เข้ากัน
ผสมสี ขนมชั้นสีผสมอาหาร ขนมชั้น
เตรียมซึ้งนึ่ง ใส่น้ำและต้มให้เดือดจัด นำพิมพ์ลงนึ่งให้ร้อนจัดประมาณ 15 นาที ก่อนที่จะนึ่งขนม ไม่อย่างนั้นขนมจะติดพิมพ์ค่ะ พอพิมพ์ร้อนได้ที่แล้ว เราจะเทส่วนผสมลงไปในพิมพ์ทีละสีค่ะ( ก่อนที่จะเเวลานึ่งประมาณ 5-7 นาที ถ้าแป้งสุกแล้วเนื้อจะเนียนและใสขึ้นค่ะ เทสีสลับชั้นไปเรื่อยๆค่ะ
ขนมชั้น เทแป้งสีฟ้าขนมชั้น สีส้มขนมชั้น สีเขียว
ขนมชั้น สีชมพู
เมื่อนึ่งขนมเสร็จครบทุกชั้นแล้ว เราต้องพักขนมชั้นไว้ให้เย็น ประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนแกะออกจากพิมพ์   เคล็บลับการนึ่งขนมชั้น เวลาเปิดฝาหม้อต้องเปิดให้เร็ว เพื่อไม่ให้น้ำหยดลงบนตัวขนมค่ะ
นึ่ง ขนมชั้น
หลังจากที่แกะออกจากพิมพ์แล้ว ก่อนตัดขนมเพื่อไม่ให้มีดติดขนมเราจะนำมีดแช่น้ำก่อนตัดนะคะ และลงมีดในครั้งเดียว เราจะหั่นขนมชั้นเป็นชิ้นสีเหลี่ยม
ขนมไทย ขนมชั้นหั่น ขนมชั้น

ดูสิค่ะหั่นออกมาแล้วเห็นชั้นขนมสีสันสดใสสวยงาม น่าทานจังค่ะ

- See more at: http://www.อาหารอร่อย.com/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8 %B1%E0%B9%89%E0%B8%99.html#sthash.fhLovWq4.dpuf